ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้: นิติเวชวิทยาศาสตร์สืบสวน
ที่มาภาพ:
https://www.dailynews.co.th/crime/741644
เหตุโจมตีจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน
(ชรบ.) ที่บ้านทุ่งสะเดา ตำบลลำพระยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเมื่อ
5 พฤศจิกายน 2019 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน บาดเจ็บ 4 คน
ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี[1] ของความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
(จชต.) ซึ่งมีจุดสนใจเกี่ยวกับเขตทางศาสนาและเชื้อชาติ (Malay Muslim)
แม้กลุ่มก่อความไม่สงบใน จชต.มิได้หลอมรวมกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติเช่น อัล-ไคดาหรือรัฐอิสลาม
(Islamic State) แต่การระดมกำลังทหารจำนวนมากในพื้นที่จะทำให้
จชต.กลายเป็นเขตยึดครองทางทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
บุคคลากรซึ่งรักษาการจุดตรวจที่ถูกโจมตีประกอบด้วย
ชรบ., ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) และราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน
(อรบ.) ในจำนวนผู้เสียชีวิตแบ่งเป็นชาวไทยมุสลิม 2 คน ชาวไทยพุทธ 13 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานพบว่า
ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธอย่างน้อย 3 ชนิดโจมตีป้อม ชรบ. คือ
ปืนเล็กยาว ปืนเอ็ม 16 และปืนอาก้า โดยทิ้งปลอกกระสุนกว่า 100 ปลอก ขณะเดียวกันมีรายงานว่าผู้ก่อเหตุได้ขโมยอาวุธประจำกายของ ชรบ. และ
ชคต. จำนวนหนึ่งไปจากป้อม ได้แก่ ปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก ปืนลูกซองยาว 2 กระบอก และปืนพกสั้น 5 กระบอกฝ่ายความมั่นคงคาดการณ์ว่าน่าจะมีผู้ร่วมก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 12
คน แต่ถ้ารวมผู้สนับสนุนด้วยก็จะเป็นราว 40 คน[2]
ความขัดแย้งใน จชต.มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และเชื้อชาติตั้งแต่ยุคทศวรรษ
1950 และปะทุขึ้นในปี 2004
(กรณีปล้นปืนค่ายทหาร)
รายงานจากฐานข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch
Database) ระบุว่า เหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและ
4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่มกราคม 2004 จนถึงมิถุนายน 2019
มีจำนวนเหตุการณ์ 20,323 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 6,997 คน บาดเจ็บ 13,143 คน หากดูเฉพาะสถิติในปี 2019 (มกราคม– มิถุนายน)
มีจำนวนเหตุการณ์ 222 เหตุการณ์ ผู้เสียชีวิต 92 คนและบาดเจ็บ 153 คน[3]
สถานการณ์ความรุนแรงใน
จชต.พุ่งขึ้นสูงสุดในปี 2007
และลดลงในปี 2019
โดยเฉพาะช่วงกันยายน – ตุลาคมที่ผ่านมา สถิติการเสียชีวิตจากการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นที่น่าสังเกตว่า 3 วันหลังเกิดเหตุสังหารหมู่ ขบวนการบีอาร์เอ็นได้ออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบผ่านข้อความที่เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊กชื่อ
“BRN Barisan Revolusi
National” (มีข้อสังเกตว่าคำว่า National สะกดต่างจากชื่อกลุ่ม BRN ที่สะกดว่า Nasional)[4] ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการแก้แค้นให้แก่สมาชิกที่เสียชีวิตภายใต้การควบคุมตัวของฝ่ายทหารเมื่อสิงหาคม
2019
ในอดีตประชาชนใน
จชต.เคยแสดงความไม่พอใจนโยบายการปกครองอย่างเข้มงวดของรัฐบาลซึ่งแปลกแยกจากวัฒนธรรมมาเลย์ในท้องถิ่น
(ร้อยละ 80 ของประชากร 2 ล้านคนสืบเชื้อสายมลายู) แหล่งกำเนิดของกลุ่มก่อความไม่สงบสามารถสืบย้อนกลับไปยังโรงเรียนสอนศาสนาและมัสยิดที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง[5]
ขณะที่การพูดคุยสันติภาพริเริ่มในปี 2013 และยุติอย่างฉับพลันโดยฝ่ายทหาร
นับตั้งแต่พฤษภาคม 2014 รัฐบาลแสดงความเต็มใจในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลประโยชน์จากความรุนแรงที่ลดลงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า
ปัญหา จชต.จึงเป็นความขัดแย้งในระดับต่ำ (Low-Intensity Conflict) ที่คุกรุ่น[6]
ปัจจุบันเริ่มมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าการที่รัฐบาลไม่มีกรอบการเจรจาสันติภาพที่ชัดเจน
รวมทั้งการปฏิเสธข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาของกลุ่มก่อความไม่สงบโดยสิ้นเชิง จะเป็นการส่งสัญญาณทำให้สถานการณ์หวนกลับไปสู่ความรุนแรงแบบเดิมกล่าวคือ
นอกจากการซุ่มยิง ลอบยิงเจ้าหน้าที่รัฐและพลเรือน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Devices - IEDs) ยังมีการโจมตีที่ออกแบบวางแผนอย่างดีเพื่อดึงดูดความสนใจสื่อมวลชนและรัฐบาล
หลายปีที่ผ่านมากลุ่มก่อความไม่สงบใน จชต. เคยใช้ยุทธวิธีก่อความรุนแรงแบบเดียวกับที่กลุ่มหัวรุนแรงทั่วโลกใช้โดยการฆ่าตัดศีรษะและเผาศพเหยื่อ[7]
กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใน
จชต. ส่วนใหญ่มุ่งความสนใจเกี่ยวกับปัญหาเชื้อชาติและเขตทางศาสนา มิได้เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติเช่น
อัล-ไคดาและรัฐอิสลาม รวมทั้งมิได้ศรัทธาแนวทางขบวนการซาลาฟี (Salafism)[8] โดยธรรมชาติ แต่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุหนี่ที่ยึดถือแนวทางของสำนักคิดชาฟิอี[9]เช่นเดียวกับมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สภาพทางภูมิศาสตร์ของ จชต.และความไม่สอดคล้องของกองกำลังรักษาความมั่นคงซึ่งมักถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้มาตรการเข้มงวดเป็นเหตุให้การก่อความไม่สงบกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็มิได้มีความเป็นเอกภาพ และยังคงมีจุดประสงค์การเคลื่อนไหวที่แตกต่างตั้งแต่การแยกตัวเป็นอิสระ
(independence) ไปจนถึงการกระจายอำนาจ (decentralized) และการปกครองตนเอง (autonomy)
การเคลื่อนกำลังพลรักษาความมั่นคงสำหรับภารกิจดับไฟใต้
รวมทั้งหมดอยู่ที่ 39,465 นาย (แยกเป็นทหาร 24,004 นาย ตำรวจ 9,809 นาย พลเรือน อส. 5,652 นาย)
นอกจากนั้นยังมีกองกำลังภาคประชาชนที่ผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานความมั่นคงอีก 95,974 คน (ชรบ. อรบ. อรม. ทสปช. อปพร.) รวมกำลังพลทุกฝ่าย 135,439 นาย ได้เปลี่ยนพื้นที่
จชต.ให้กลายเป็นเขตยึดครองทางทหาร
ขณะที่กลุ่มก่อความไม่สงบบางส่วนขยายปฏิบัติการโจมตีนอกพื้นที่
จชต.และส่วนใหญ่ที่ยังคงก่อเหตุในพื้นที่มุ่งความสนใจที่กองกำลังรักษาความมั่นคง
[1] สื่อต่างชาติเกาะติด
เหตุโจมตี ชรบ.จ.ยะลา มติชนออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2562 16:16 น. https://www.matichon.co.th/foreign/news_1744002
[2] ยิงถล่ม
ชรบ. ยะลา : เรารู้อะไรบ้างในรอบสัปดาห์ BBC THAI 13 พฤศจิกายน 2019
https://www.bbc.com/thai/50402228
[3] อัลกอริทึมของความแปรปรวนในความรุนแรง
15 ปี ชายแดนใต้/ปาตานี ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ THE 101 Aug 16, 2019 https://www.the101.world/algorithm-of-violence-in-deep-south/
[4] สารถึง
ชรบ.อรบ.อรม.ทสปช.และกองกำลังประชาชนในภาคส่วนอื่นและผู้ช่วยเหลือทางราชการงานความมั่นคงฝ่ายพลเรือน
BRN Barisan Revolusi National November 15 at 10:46 AM - https://www.facebook.com/BRN-Barisan-Revolusi-National-1380087125452122/
[5] ปิด'ร.ร.ปอเนอะ'เก็บ'DNA'500คน
หามือถล่มฆ่า15ชรบ. เดลินิวส์ 14 พฤศจิกายน 2562 เวลา 18.00 น.https://www.dailynews.co.th/crime/741644
[6] การต่อสู้ในทางการเมืองและการทหารในขอบเขตจำกัด
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง การทหาร สังคมและจิตวิทยา
ซึ่งมีลักษณะของความขัดแย้งตั้งแต่การเจรจาต่อรอง การกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม
จิตวิทยา การก่อการร้าย จนถึงสงครามก่อความไม่สงบ ความขัดแย้งในระดับต่ำโดยทั่วไปจะเป็นการต่อสู้โดยมีระดับความรุนแรงของการใช้อาวุธและยุทธวิธีในลักษณะยืดเยื้อ
[7] SOUTHERN
THAILAND’S FORGOTTEN CONFLICT SOUFAN CENTER Wednesday, November 13, 2019
https://mailchi.mp/thesoufancenter/southern-thailands-forgotten-conflict?e=c4a0dc064a
[8] หมายถึงขบวนการเผยแผ่ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางศาสนาของมุสลิมสำนักนิกายอื่นๆ
ขบวนการซาลาฟีมุ่งหมายที่จะเจริญรอยตามวัตรปฏิบัติทางศาสนาและศีลธรรมของอิสลามสามรุ่นแรก
(al-salaf al-salih—บรรพบุรุษผู้ทรงธรรม) เพื่อบรรลุจุดประสงค์นี้
ขบวนการซาลาฟีจึงตีความพระคัมภีร์แบบตรงตามตัวอักษร
เป้าหมายสูงสุดของขบวนการซาลาฟีคือทำให้มุสลิมสำนักนิกายอื่นๆยอมรับว่าอิสลามในแบบของซาลาฟีคือหลักศาสนาดั้งเดิม
ขณะที่การตีความแบบอื่นเป็นการบิดเบือนจากรูปแบบบริสุทธิ์ของศาสนา ในเชิงความคิดนั้น
กลุ่มเหล่านี้แตกต่างจากขบวนการปฏิรูปศาสนาอิสลาม
ซึ่งอ้างตัวเป็นขบวนการซาลาฟีเช่นกันและหยั่งรากลึกอยู่ในภูมิภาคนี้ https://kyotoreview.org/thai/modalities-of-salafi-transnationalism-in-southeast-asia-thai-2/
[9] ผู้ให้กำเนิดสำนักคิดนี้คือ
อิหม่ามชาฟิอีย์ ท่านเกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่มีความมั่นใจสูงมาก ท่ามกลางความแร้นแค้นในวัยศึกษาเป็นผู้มีความสามารถและมีมันสมองที่ดีเฉลียวฉลาด
สามารถท่องจำอัลกุรอ่านตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังได้ท่องจำและจดบันทึกหะดีษไว้เป็นจำนวนมาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/shukur/2011/01/16/entry-2
รัฐมุ่งแก้ปัญหาไกลตัวชาวบ้าน ทุ่มโครงการฯ ที่เป็นภาพรวมซึ่งชาวบ้านไม่รู้สึกว่าตัวเองได้อะไร.... ส่วนของใกล้ตัวที่ส่งผลต่อตัวบุคคลโดยตรงกลับไม่สนใจ ถึงได้มีปัญหามวลชน...ผมว่าเองน่ะคับ
ReplyDelete