จาก “แก้ไขไม่แก้แค้น” จนมาถึง “คิดใหญ่ทำเป็น”

ดูหนังซีรีย์เกาหลีเรื่อง The Glory Part II (2023) ที่ปล่อยออกฉาย 8 ตอนรวดเมื่อมีนาคม 2023 ที่ผ่านมาทำให้นึกถึงอดีตนายกฯหญิงคนแรกของไทยซึ่งมีสโลแกนหาเสียง “แก้ไขไม่แก้แค้น” The Glory เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงที่ถูกเพื่อน ม.ปลาย คนรุมบูลลีอย่างทารุณ โดยใช้ที่หนีบผมร้อน ๆ หนีบแขนเธอ เด็กหญิงหวังพึ่งครูและตำรวจก็ไม่ได้เพราะหัวโจกแก๊งค์นี้มาจากครอบครัวร่ำรวยมีอิทธิพล

          การบูลลีทิ้งรอยแผลเป็นบนร่างกายและจิตใจเธอแตกสลายจนเกือบฆ่าตัวตาย เด็กหญิงใช้ระยะเวลา 18 ปี ในการสั่งสม “ความแค้น” และ “การศึกษา” เพื่อกลับมาเป็นครูประจำชั้นของลูกสาว “นางร้าย” หัวโจกของแก็งค์และวางแผน “เอาคืน” แบบเรียงตัวอย่างสาสม

          ส่วนยิ่งลักษณ์ในวัย 44 ปี ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์เมื่อกรกฎาคม 2011 โดยใช้เวลาหาเสียง 49 วัน หลังการล้อมปราบคนเสื้อแดงอย่างโหดร้ายกลางมหานคร “ความคับแค้น” ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนจากประชาชน 15,744,190 เสียง ได้ ส.ส. 265 คน (เกินกึ่งหนึ่งของสภา)

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ส่งมอบนโยบายตามที่หาเสียงไว้อย่างเข้มแข็งตลอดระยะเวลา 2 ปี 275 วัน จนกระทั่ง “เดินหมาก” ผิดพลาด (พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ) และถูกบูลลีโดยแก็งค์อันธพาลทางการเมือง (นกหวีด)  ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำคณะทำรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในปี 2557

การเลือกตั้งในปี 2023 แตกต่างจากปี 2019 อย่างมาก ระยะเวลา ปีของการสืบทอดอำนาจภายใต้ประชาธิปไตยซ่อนรูปของลุง “นักกู้” และ “นักยืม” (นาฬิกา) สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โครงสร้างสถาบันต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองแบบพิสดารจนทำให้ “ภาพลักษณ์” และ “ความเชื่อถือ” เสื่อมทรามลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษาที่มีอาจารย์ “ชอปปิ้งงานวิจัย”

กติกาการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใน 14 พฤษภาคม 2023 แม้จำนวน สส.รวมเท่ากับปี 2019 แต่ในรายละเอียดแตกต่างกัน กล่าวคือ ปีนี้ สส.เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ส่วน สว. 250 คน ยังเป็นชุดปัจจุบัน (หมดวาระ ใน 13 พฤษภาคม 2024) บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใช้คะแนนจัดสรรสูตรหาร 100 (ปี 2019 บัตรใบเดียวสูตรหาร 500) นำไปสู่การเลือกสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อแตกต่างจากเดิม พรรคที่ได้คะแนนเลือกตั้งสูงจะมีโอกาสมากขึ้น

การเมืองเป็นเรื่องที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งจะมีการต่อรองจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล ศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการเมืองไทยเมื่อต้นมกราคม 2023 โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะยังเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่น่าจะไม่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งเชื่อว่าจำนวน ส.ส. ของพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันอาจไม่ได้เสียงข้างมากในสภาเช่นกัน

ศ.ดร.ไชยันต์คาดการณ์ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเข้าร่วมเมื่อ 9 มกราคม 2023 จะจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมกับได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ที่ยังสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมาตรีหลังการเลือกตั้งรอบนี้

ส่วน รศ.ดร.เจษฎ์ โทณวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสมากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปและคาดว่าจะได้ ส.ส. ประมาณ 150 คน เนื่องจาก “อุ๊งอิ๊ง” (แพทองธาร ชินวัตร) ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ทั้งนี้ การเลือกตั้งแบบใช้บัตรลงคะแนนคู่และการหารคะแนนทั้งหมดด้วย 100 เป็นประโยชน์ต่อพรรคขนาดใหญ

สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดในการเลือกตั้งปี 2023 ได้แก่ 1) พรรคเพื่อไทย/ก้าวไกล/เสรีรวมไทย (คาด 230 ที่นั่ง) + พรรคอื่น ๆ (มากกว่า 20 ที่นั่ง) 2) พรรคเพื่อไทย/พลังประชารัฐ/ ภูมิใจไทย/ชาติไทยพัฒนา (คาด 320 ที่นั่ง) + พรรคอื่น ๆ และ 3) พลังประชารัฐ/รวมไทยสร้างชาติ/ภูมิใจไทย/ประชาธิปัตย์/ชาติไทยพัฒนา (คาด 280 ที่นั่ง) + พรรคอ่ืน ๆ

กลยุทธ (strategy) การแข่งขันของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนใหญ่นำเสนอนโยบายที่มีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากไม่ได้มีที่มาจากฐานอุดมการณ์ทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เราอาจแบ่งพรรคการเมืองที่ลงชิงชัยเป็นพรรคฝ่าย “ประชาธิปไตย” (เสรีนิยม) และฝ่าย “อนุรักษ์นิยม” หรือฝ่ายรัฐบาลสืบทอดอำนาจรัฐประหาร (คสช.)

ปัจจุบันฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน (competitive advantage) ในแง่การควบคุมโครงสร้างอำนาจรัฐราชการรวมศูนย์อันใหญ่โต แต่ไม่ได้เปรียบด้านกำไร (profit) ซึ่งเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost) หรือด้านราคา (price) ในการทำกิจกรรมทางธุรกิจ (business activity) หรือโครงการตอบสนองความต้องการของลูกค้า (ประชาชน) หรือมีข้อเสนอคุณค่าที่โดดเด่น (unique value proposition) แต่อย่างใด

พรรคเพื่อไทย ซึ่งอวตารมาจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนใช้สโลแกนหาเสียง “คิดใหญ่ทำเป็น” เพื่อไทยทุกคน สะท้อนจุดแข็งทุกนโยบายทำได้และทำเป็น (ทำซ้ำความสำเร็จของพรรคไทยรักไทย) สำหรับแคนดิเดตนายกฯในบัญชี ได้แก่  1) น.ส. แพทองธาร ชินวัตร 2) นายเศรษฐา ทวีสิน และ 3) นายชัยเกษม นิติสิริ โดยเป็นการเชื่อมต่อ (fused) กับคน ยุค

นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไป (50 ล้านคน) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เศรษฐา ทวีสินเพิ่งประกาศไป สร้างแรงส่งทางการเมืองและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายแต่ไม่มีการต่อต้าน ต่อมาได้มีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าพรรคตั้งใจให้เป็นเงินดิจิทัลไม่ให้เงินสด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ในระยะยาวคือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่ที่อิงอยู่บน central bank digital currency (CBDC)

ตลาดหุ้นให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งมากกว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาล ผลการสำรวจความนิยมทางการเมืองล่าสุดของนิดาโพล พรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯได้คะแนนนิยมทิ้งห่างพรรคก้าวไกล (อันดับสอง) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (อันดับสาม) เป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ สว. 250 คนยังมีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ

กกต.จะต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างน้อยร้อยละ 95 ภายในระยะเวลา 60 วันหลังการเลือกตั้งในกรกฎาคม 2023 ส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลกว่าจะแล้วเสร็จในสิงหาคม 2023 ความเสี่ยงคือ การอนุมัติงบประมาณอาจเกิดความล่าช้ารวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายคือการประท้วงผลการเลือกตั้ง[1]

พิจารณาทรงกราฟพรรคเพื่อไทยลงมาถึงจุดต่ำสุดที่จุด C2 ถ้าใช้อัตราส่วนฟิโบนัชชีวัดแนวต้านแรกน่าจะอยู่ที่ 150 (โพลสันติบาล) แนวต้านต่อมา 250 – 265 ถ้าผ่านไปได้จะไปเจอ 310 (โพลภายในของนักวิชาการ) นับเป็นแลนด์สไลด์ โดยสรุปคงต้องดูว่า กกต.จะ “สอย” หรือใช้วิชาก้นหีบ “ยุบ” พรรคอีกหรือไม่ การฉลองต้องรอให้ฝุ่นจางจนเห็น “เงาร่าง” รัฐบาลชุดใหม่



[1] Money and Banking Channel สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย Head of Equities Thailand บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) หุ้นไทยภาคเช้าร่วงกว่า 10 จุด รับแรงกดดันจากหุ้น DELTA | 3 เม.ย. 66 | Money Daily

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

1 comment:

  1. บทความการเมือง ไม่ค่อยน่าอ่าน เหมือนบทความวิชาการต่างประเทศที่ผ่านมา

    บทความนี้มีอคติและเชียร์เพื่อไทยออกนอกหน้าไปหน่อย

    ReplyDelete

Powered by Blogger.